ประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
กำเนิดและบุพการี
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ตรงกับวันอาทิตย์ เดือน ๔ ปีมะเมีย ขึ้น ๑๕ ค่ำ เวลา ๑๑.๒๐ น. นายยิ้ม กลิ่นผกา เป็นบิดา นางสวน กลิ่นผกา เป็นมารดา สถานที่เกิดอยู่ในคลองสามวา อำเภอมีนบุรี กรุงเทพฯ ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่ ตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ
ญาติพี่น้อง
คุณแม่บุญเรือนมีพี่สาวร่วมบิดา มารดาคนเดียวชื่อนางอยู่ กลิ่นผกา ซึ่งได้สิ้นชีวิตไปนานแล้ว น้องร่วมบิดาเดียวกันแต่ต่างมารดา คือนางเนื่อง นางทองคำ นางทิพย์ ฯลฯ ปรากฏว่าคุณแม่บุญเรือนยังมีญาติพี่น้องที่ตำบลคลองสามวา ตำบลวัดบางปะกอก บางปะแก้วอยู่เป็นจำนวนมาก
การศึกษาเล่าเรียน และชีวิตในครอบครัว
ชีวิตยามเยาว์ของคุณแม่บุญเรือนได้รับความรักความทะนุถนอมจากบิดามารดามาก ท่านได้รับการศึกษาให้รู้ภาษาไทยสมควรกับอัตภาพพอเหมาะสมกับสมัย ได้รับการฝึกสอนอบรมจากบิดามารดาให้มีความรอบรู้และสามารถในการทำหน้าที่แม่บ้านได้อย่างดี เช่นสามารถในการทำกับข้าวมีรสโอชาหลายอย่าง เย็บจักรตัดเสื้อผ้าได้ ตัดผมได้
แม้กระทั่งการโกนผมของท่านเองก็ทำได้โดยไม่ต้องอาศัยคนอื่นช่วยเหลือ
การฝึกหัดเป็นหมอนวด และสนใจในงานบุญ
เมื่อคุณแม่บุญเรือนอายุได้ ๑๕ หรือ ๑๖ ปี ท่านได้รับการฝึกสอนให้รู้จักการนวด ซึ่งท่านสนใจอยู่เป็นอันมากจนผลที่สุดท่านได้รับครอบวิชาหมอนวดและมอบตำราหมอนวดจากปู่ของท่าน ซึ่งเป็นอาจารย์หมอนวดผู้มีชื่อเสียง ชื่ออาจารย์กลิ่น ท่านศึกษาวิธีนวดจากตำราดังกล่าวได้จนชำนิชำนาญ ในวัยรุ่นของท่านนั่นเอง ท่านได้นำอาหารและของไปถวายหลวงตาพริ้ง พระภิกษุอยู่วัดบางปะกอกซึ่งเป็นลุงของท่านทำให้ท่านได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะ และคุณธรรมในการดำเนินชีวิตตามแนวคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เริ่มเลื่อมใสศรัทธา และรักงานบุญงานกุศลมากขึ้นท ั้งน ่าจะถือได้ว่าเป็นปฐมเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ท่านบำเพ็ญกรณียกิจเป็นนักบุญ ในพระพุทธศาสนาในสมั ต่อมา ได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุความสำเร็จ
ชีวิตสมรส
เมื่อคุณแม่บุญเรือนมีอายุพอสมควร ก็ได้ทำการสมรสกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม ซึ่งเป็นตำรวจ ประจำสถานีตำรวจนครบาลสัมพันธวงศ์ ชีวิตสมรสของคุณแม่บุญเรือน นับว่าเต็มไปด้วยความเรียบร้อย และราบรื่นแต่ไม่มีบุตรธิดาด้วยกันเลยท่านได้อุปการะเด็กหญิงคนหนึ่งในฐานะบุตรบุญธรรม คือ นางอุไร คำวิเทียน
อุปนิสัย
ผู้ที่รู้จักคุณแม่บุญเรือนจะทราบได้ดีว่าท่านเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยมารยาทคุณธรรมอันสูงส่ง มีอุปนิสัยเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาปรานีแก่บุคคลที่รู้จักพบเห็นทุกคน แต่ทว่าท่านเป็นคนที่ค่อนข้าง.. "ดุ" อยู่บ้างพูดเสียงดังกังวาน เด็ดขาดและจริงจังหรือนัยหนึ่งก็คือพูดจริง ทำจริง ท่านได้ยึดมั่นในการบุญการกุศล รักการประกอบงานบุญ การถือศีล สวดมนต์ฟังธรรมด้วยความเลื่อมใสอย่างแท้จริง
การปฏิบัติ
คุณแม่บุญเรือนได้เริ่มฝึกหัดวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งยณะนั้นมีอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปี ต่อมาได้อุปสมบทสามีที่วัดนี้ ๑ พรรษา เมื่อสามีลาสิกขาไปแล้ว คุณแม่บุญเรือนก็ยังมีศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น จึงได้ลาสามีออกบวชเป็นชี และอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดสัมพันธวงศ์ได้เพียรฝึกหัดวิปัสสนากัมมัฏฐาน ด้วยความพยายามมากยิ่งขึ้น ได้อยู่ปฏิบัติในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ด้วยความกล้าหาญ เข้าใจปลอดโปร่งในธรรมะผลสำเร็จของการภาวนา ในระหว่างที่บวชเป็นแม่ชีอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์นี่เอง ด้วยความตั้งใจจริงในการบำเพ็ญเพียรฝึกหัดวิปัสสนากัมมัฏฐาน ทำใจให้สงบระงับ และได้ผลเป็นอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐานเป็นครั้งแรกเมื่อราววันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๗๐ ขณะนั้นท่านอายุประมาณ ๓๓ ปี ในวันนั้นคุณแม่บุญเรือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านพักสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ คืนนั้นนอนไม่หลับจนดึก สามีและบุตรบุญธรรมหลับมีอาการกัดฟันและกรน รู้สึกเกิดธรรมสังเวชและนึกเบื่อจังตั้งสัตย์อธิษฐานเข้าไปในศาลา รู้สึกว่าพอสิ้นคำอธิษฐาน ตัวคุณแม่บุญเรือนก็ไปปรากฏในศาลาดังคำอธิษฐาน ทั้งนี้โดยตัวท่านเองก็ไม่ทราบว่า ได้ออกจากห้องทางไหน และเข้าในศาลาทางไหน ในครั้งนั้นเพื่อนแม่ชีไม่สู้เชื่อนัก จนต่อมาอุบาสิกาฟักขอให้อธิษฐานใหม่ ได้ใส่กลอนประตูหน้าต่างศาลาเสีย คุณแม่บุญุเรื่อนก็ได้อธิษฐานจากสถานีตำรวจสัมพันธ์วงศ์เข้าไปในศาลาได้เช่นคราวก่อน ต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานไปเขาวงพระจันทร์พบพระผู้วิเศษ ขอพระธาตุท่าน ท่านก็ให้มา ๑ องค์ และได้กลับมาที่เดิมตามคำอธิษฐาน พร้อมด้วยพระธาตุ การบำเพ็ญเพียรฝึกใจให้แข็งแกร่งแก่กล้า ทองเห็นธรรมอันวิเศษของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏว่าคุณแม่บุญเรือนได้สำเร็จในจตุตถฌาน หรือฌาน ๔ ซึ่งเป็นเรื่องการฝึกจิตที่ทำได้ยาก แต่คุณแม่บุญเรือนก็ได้ทำสำเร็จโดยเรียบร้อยทำให้ท่านเป็นนักเสียสละที่ผ่องแผ้วยิ่งขึ้น มีอารมณ์วางเฉยเป็นอุเบกขา สละความโลภความอยากได้ในทรัพย์สินต่าง ๆ โดยสิ้นเชิง การสำเร็จฌาน ๔ ดังว่านี้เป็นบันไดขั้นสำคัญที่ท่านก้าวไปสู่อภิญญาหกประการ จะขอนำมากล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
๑. อิทธิวิธี ซึ่งได้แก่การแสดงฤทธิ์ได้นั้น ปรากฏว่าคุณแม่บุญเรือนได้กระทำมาแล้วมีหลายประการ เช่น อธิษฐานต้นมะม่วงต้นเล็ก ๆ ให้ออกช่อได้ภายในคืนเดียว ย่นหนทางยาวให้สั้น เดินตากกลางฝนไม่เปียก เรียกฝนได้ขอให้ฝนหยุดตกได้ อาจอธิษฐานเครื่องป้องกันกระสุนปืน ลูกระเบิดได้ คุณแม่บุญเรือนมีความรู้เดิมเพียงอ่านออกเขียนได้ เวลาท่านอธิษฐานธรรมถึงขนาดท่านอาจรู้ภาษาต่าง ๆ ได้หลายภาษารู้ตัวยาตามใบสั่งแพทย์แผนปัจจุบัน รู้ภาษาอังกฤษ รู้สิ่งประสงค์ได้เกือบทุกเรื่อง ยังเดินผ่านที่ปิดล้อมได้แม้จะมีฝากั้น และยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมาก
๒. ทิพโสต หรือที่เรียกว่า หูทิพย์นั้น ปรากฏว่าผู้ที่อยู่ไกลต่างบ้านต่างเมืองแม้จะพูดกันในเรื่องอะไร หากคุณแม่บุญเรือนเข้าสมาธิอธิษฐานแล้ว ท่านก็ได้ยินเรื่องราวทุกประการ และอาจจะบอกหรือเล่าเรื่องที่คนอื่นพูดกันในที่ไกล ๆ ให้คนใกล้ชิดหรือผู้ที่พูดนั้นฟังได้อย่างถูกต้อง
๓. เจโตปริยญาณ ปรากฏว่าคุณแม่บุญเรือนทำได้อย่างดี ในเวลาสนทนากับผู้ใด ใครจะคิดว่าอย่างไรหรือจะพูดอะไร คุณแม่บุญเรือนอาจทราบได้
๔. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ท่านได้เล่าไว้รวม ๓ ชาติ ชาติแรก เป็นเหตุการณ์เมื่อราว ๑,๐๐๐ ปี มาแล้ว ท่านได้เกิดเป็นธิดาของพระเจ้าเชียงใหม่ ชื่อเจ้าหญิงสร้อยสุวรรณ ขณะมีอายุ ๑๐ ขวบ ได้ใส่กำไลเท้าทองคำ ๒ ข้าง ในขณะที่มีการหล่อพระพุทธรูปสมโภชทำยอดเจดีย์ดอยสุเทพหุ้มทองคำ ท่านได้ขึ้นไปบนลานเจดีย์ดอยสุเทพ พร้อมด้วยพี่เลี้ยงแล้วท่านแอบถอดกำไลเท้าทองคำข้างหนึ่งโยนลงไปในเบ้าที่เขาจะหล่อหลอม เพื่อทำพระและหุ้มยอดเจดีย์โดยไม่บอกใคร เมื่อกลับมาพี่เลี้ยงที่คุมถูกลงโทษ เนื่องจากกำไลเท้าหายท่านก็เฉยเสียเป็นเหตุหนึ่งให้ท่านเกิดมาในภพปัจจุบันเป็นลูกคนจน ชาติที่สอง ท่านเกิดที่จังหวัดอุดรเป็นลูกสาวคนธรรมดาชื่อ จำปา ชาติที่สาม ท่านได้เกิดเป็นท่านหญิงโม หรือท้าวสุรนารีแห่งจังหวัดนครราชสีมาผู้เป็นวีรสตรีคนสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย เรื่องระลึกชาติเป็นเรื่องพิสูจน์ยาก แต่เมื่อคำนึงความเป็นนักบุญของท่านซึ่งมีสัจจวาจาอย่างยอดเยี่ยม ทำให้เชื่ออย่างปราศจากข้อสงสัย
๕. ทิพจักษุ หรือตาทิพย์ ได้แก่การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ แม้จะมีสิ่งของกั้นอยู่ได้ มองของในที่ปกปิดได้ หรือมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ประสงค์ ซึ่งอยู่ในระยะทางไกลต่างเมืองหรือต่างประเทศได้ เห็นภาพเหมือนเช่นอย่างดูโทรทัศน์ แต่ทว่าเรื่องตาทิพย์นี้ คุณแม่บุญเรือนบอกว่าหากใช้ตาทิพย์แล้วจะมองเห็นสิ่งอันเป็นปฏิกูลมากมายท่านจึงงดเว้นเสีย จะนำมาใช้เวลาจำเป็นครั้งคราวเท่านั้น
๖. อาสวักขยญาณ คือรู้จักทำอาสวะให้สิ้น ทำตนให้พ้นจากสิ่งอันไม่เป็นมงคลทั้งปวง ให้พ้นจากามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้วกรณีย์ได้ทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจใดจะทำอีก ผู้ปราศจากอาสวะย่อมพ้นจากโกรธ รัก โลภ หลง พ้นจากความเกาะเกี่ยว คุณแม่บุญเรือนได้บำเพ็ญเพียรธรรมในข้อนี้เป็นอันมาก จนได้บรรลุ ด้วยเหตุนี้ผู้ไปหาท่าน จะได้รับความปรานีเสมอกัน ด้วยสัจจะ ประกอบการยึดมั่นในพระพุทธคุณอันเหนียวแน่วแน่ของท่านยังปกแผ่คุ้มครองผองภัยแก่บรรดาลูกศิษย์ของท่านได้อย่างน่าพิศวงด้วย แม้มีอิทธิฤทธิ์ก็ไม่ยอมแสดงการบรรลุความสำเร็จดังกล่าว แม้มีอิทธิฤทธิ์ แต่ปกติคุณแม่บุญเรือนจะไม่แสดงให้ใครได้ดูเลย นอกจากความจำเป็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น เช่นการเดินเข้าสู่ที่ปิดล้อมเป็นต้น หรือการใช้ฌาน ๔ มีน้อยคนที่ท่านจะเล่าให้ฟังท่านถือว่าการเล่าโดยไม่จำเป็นย่อมเป็นการผิดธรรม เป็นการอวดอุตตริมนุษยธรรม
ชีวิตที่โรงพักกลางในปี พ.ศ.๒๔๗๙ ท่านมีอายุได้ ๔๒ ปี นางอุไร คำวิเทียน อายุได้ ๑๒ ปี ส.ต.ท.จ้อย ได้ถึงแก่กรรมลงเนื่องจากได้เข้าไปช่วยดับเพลิง เมื่อครั้งเพลิงไหม้ใหญ่ตลาดน้อย อำเภอบางรัก ท่านก็ได้ย้ายออกจากที่พักของสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ ได้ไปพักพิงอยู่ที่โรงเรียนช่างกลสมบุญดีมักกะสัน ประกอบอาชีพเลี้ยงดูนางอุไร คำวิเทียน ต่อมาอีกถึง ๗ ปีเศษ จนนางอุไร คำวิเทียนมีอายุได้ ๑๙ ปี ได้เข้าสู่พิธีสมรสกับ ร.ต.ท.เต็ม คำวิเทียน เป็นตำรวจประจำอยู่โรงพักกลาง ท่านก็ได้มาอยู่กับครอบครัวของนางอุไร คำวิเทียน ที่บ้านพักของทางราชการที่โรงพักกลาง เมื่อท่านย้ายมาอยู่ที่โรงพักกลางนี่เอง ท่านได้เพียรพยายามบำเพ็ญการบุญในด้านต่าง ๆมากขึ้น และเจริญวิปัสสนา กัมมัฏฐานแก่กล้ายิ่งขึ้น จนสามารถอาจจะเข้าวิปัสสนาเมื่อใดก็ได้ และไม่ต้องยึดสิ่งมีรูปเป็นอารมณ์ ทั้งอาจเข้าวิปัสสนาโยลืมตาก็ได้โดยเร็วพลันด้วยเหตุนี้ ทางด้านอรูปฌานก็เชื่อว่าท่านสันทัดและบรรลุโดยลักษณะเดียวกัน ท่านได้ใช้ความสำเร็จและความรอบรู้ในด้านกำลังใจ อธิษฐานช่วยเหลือผู้ทุกข์ร้อนด้านต่าง ๆ ในทางที่ชอบ จนสำเร็จผลมากมายหลายครั้ง และได้รับรักษาโรคภัยไข้เจ็บนานาประการที่เหลือมือแพทย์ หรือแพทย์ธรรมดาทั่วไปไม่สามารถจะรักษาได้ปรากฎหลาย ๆ อย่างศักดิ์สิทธิ์เป็นที่อัศจรรย์เป็นอันมาก
ย้ายไปอยู่บ้านวิสุทธิกษัตริย์บรรดาสานุศิษย์และผู้ร่วมการบุญเห็นว่าท่านอยู่โรงพักกลางไม่สะดวกเวลามีผู้ไปหาร่วมบำเพ็ญการบุญมาก สมควรจะมีที่อยู่เป็นเอกเทศ
จึงร่วมกันสร้างอาคารขึ้น ณ ถนนวิสุทธิกษัตริย์ คนจำนวนมากเห็นผลศักดิ์สิทธิ์ ในการร่วมปฏิบัติธรรมกับท่าน จึงได้มายอมตัวเป็นศิษย์ เป็นลูก เป็นหลาน ฟังธรรมคำสั่งสอนจากท่าน เมื่อปฏิบัติตามก็ปรากฏว่า ได้รับความผาสุกทางใจอย่างประหลาด ผู้คนที่มาหาก็ค่อยมากและคับคั่งขึ้นตามลำดับ เพื่อให้คณะผู้ร่วมการบุญและสานุศิษย์ดังกล่าวแล้วเป็นปึกแผ่นมีชื่อเรียกที่เหมาะสม คุณแม่บุญเรือนจึงขนานนามคณะของท่านว่า คณะสามัคคีวิสุทธิ และเรียกบ้านที่อยู่ของท่านว่า บ้านสามัคคีวิสุทธิ ข้อวัตรปฏิบัติประจำที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ ในวันธรรมดาทั่วไป คุณแม่ได้สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ พร้อมทั้งทำกัมมัฏฐานวิปัสสนา และรักษาโรคภัยไข้เจ็บของผู้มาหา ด้วยการนวดการอธิฐานด้วยสัจจวาจา และสิ่งของให้ผู้ป่วยทุกวันเสาร์ บรรดาสานุศิษย์และผู้ร่วมการบุญจะมาชุมนุมแต่ตอนเที่ยงมาร่วมรับประทานอาหารอธิษฐาน เพราะคุณแม่ อธิษฐานอาหารให้ลูกศิษย์รับประทาน แล้วนำปูน ไพล ผลไม้ พริกไทย และของอื่นมาให้ท่านอธิษฐานรวม ประมาณราวบ่าย ๒ โมง ท่านจะนำคณะสวดมนต์เป็นเวลาราว ๑ ชั่วโมง และฝึกทำสมาธิปัสสนา กัมมัฏฐาน ในการนี้ทำให้เด็กหนุ่มสาวหลายคนได้หันมาสนใจทางธรรมเลิกประพฤติในทางที่ผิดและไม่สมควร นับได้ว่าท่านได้บำเพ็ญกรณียกิจอันมีคุณค่าต่อประเทศชาติและสังคมอย่างสูงส่งด้วย
งานบุญสำคัญของคุณแม่บุญเรือน
นอกจากการบำเพ็ญงานบุญธรรมดาประจำวันแล้ว ท่านยังได้อธิษฐานธรรมประกอบงานบุญสำคัญเป็นพิเศษอีก คือ
๑. ท่านได้อธิษฐานธรรมประจุพระพุทธรูปและพระเครื่องสำคัญรวมทั้งร่วมสร้างด้วย คือ
- พระพุทโธองค์ใหญ่ ซึ่งได้ทำพิธีหล่อสร้างที่วัดสัมพันธวงศ์ อัญเชิญไปวัดสารนาถธรรมาราม อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์ จนปัจจุบันนี้
- พระพุทโธองค์เล็ก ซึ่งได้แก่พระเครื่องที่วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัดนอก ธนบุรี คุณแม่ได้ร่วมสร้างและทำพิธีอธิษฐาน เมื่อ ๑๑ , ๑๒, ๑๓ กันยายน ๒๔๙๔ รวม ๑ แสนองค์ พระทั้งสองอย่างนี้ปรากฏว่าได้กลายเป็นพระศักดิ์สิทธิ์ในระยะต่อมา ทั้งด้านเมตตามหานิยมป้องกันภัยแคล้วคลาด เจริญโภคสมบัติ กำจัดโรคร้าย (นอกจากโรคกรรมโรคเวร)
๒. ได้ทำพิธีเก็บศิลาน้ำอธิษฐานให้ศิลาน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ เมื่อใช้ใส่ลงไปในน้ำ น้ำก็กลายเป็นน้ำอธิษฐาน
๓. คุณแม่ทำพิธีชักธงชัยชนะ ชัยมงคล
๔. คุณแม่ทำพิธีนางกวัก
๕. คุณแม่ได้แจกเทียนชัย ซึ่งเป็นเทียนอธิษฐานให้ชีวิตรุ่งโรจน์ปลอดภัย
๖. ทำหนังสือใบโพธิ์อธิษฐานแจกในงาน ๒๕ พุทธศตวรรษ เป็นจำนวนกว่าสามหมื่นเล่ม
๗. อธิษฐานธรรมประจุพระพุทโธองค์กลาง เป็นพระพุทธรูปทองเหลือง หน้าตักกว้าง ๖ นิ้ว
๘. คุณแม่บุญเรือนได้ไปต่างจังหวัดหลายแห่งรักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยการอธิษฐานตามที่กล่าวแล้ว ที่ท่านไปมีทั้งภาคเหนือจนถึงเชียงใหม่ ภาคอีสาน ตั้งแต่จังหวัดนครราชสีมา อุดร จังหวัดอื่น ๆ อีกหลายจังหวัด เช่น สกลนคร นครพนม จนจรดริมแม่น้ำโขง ภาคตะวันออกหลายจังหวัดจนถึง จันทบุรี ภาคใต้ ไปชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช จนถึงจังหวัดตรัง นอกนั้นได้ไปในท้องที่ภาคกลางอีกหลายแห่ง
ไม่ยอมเป็นอาจารย์
แม้คุณแม่บุญเรือนจะได้มีสานุศิษย์ และผู้ร่วมประกอบการบุญ ผู้มาร่วมปฏิบัติธรรม ทำวิปัสสนากัมมัฏฐานมากมาย แต่ท่านไม่ใช่อาจารย์ถือว่าทุกคนเป็นผู้มาร่วมการบุญกับท่านเท่านั้น ส่วนผู้เป็นอาจารย์นั้นก็คือ “พระมหารัชมัคลาจารย์” ซึ่งเดิมก็คือ ท่านเจ้าคุณพระรัชมงคลมุนี เจ้าอาวาส วัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งเป็นอาจารย์วิปัสสนาของท่าน ให้ถือว่าทุกคนเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับท่านและถือว่าผู้ร่วมการบุญกับท่านทุกคนเป็นลูกหลานของท่านเท่านั้น อาจจะด้วยเหตุนี้เป็นเหตุสำคัญข้อหนึ่ง ทุกคนจึงเรียกท่านว่า คุณแม่หรือคุณแม่บุญเรือน
ชีวิตตอนท้าย การวางสังขารทิ้งร่างวายชนม์
นับแต่เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๐๗ เป็นต้นมา คุณแม่มีอาการป่วยของโรคไต หัวใจอ่อน โลหิตจาง และความดันโลหิตสูง ต่อต่อกันมาตามลำดับ มีแต่อาการทรงกับทรุด ไม่ยอมรับการรักษาของแพทย์ ท่านต้องนอนป่วยลุกนั่งไม่ได้เป็นเวลา ๙ เดือน บรรดาศิษย์ทุกคนได้กราบอ้อนวอนท่านว่าคุณแม่เคยอธิษฐานธรรมด้วยสัจจวาจารักษาโรคร้ายของลูก ๆ และคนอื่นให้หายได้ ทำไม่เล่า ? คุณแม่จึงไม่อธิษฐานเพื่อตนเองเสียบ้าง ท่านตอบว่า ถ้าแม่อธิษฐานเพื่อตนเองก็เท่ากับแม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากมีความสุข อยากพบสิ่งใหม่ ๆ บนพื้นพิภพล้วนเป็นกิเลส แม่ทำเช่นนั้นไม่ได้นี่ล่ะคือผู้สิ้นอาสวะกิเลส ผู้บรรลุอาสวักขยญาณโดยแท้
.
เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
เจ้าคุณพระสิทธิสารโสภณ และแม่ชีบุญเรือนพบหลวงปู่บุดดา ถาวโร
พระคาถาพระสีวลี
พระอินทร์ ได้มอบพระคาถานี้กับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมพระอรหันต์เจ้า ที่มีบุญบารมีทางลาภสักการะมากกว่า
พระอรหันต์ด้วยกันในสมัยพุทธกาล พระอินทร์ ได้มอบพระคาถานี้กับคุณแม่บุญเรือนโตงบุญเติม
ท่านแม้เป็นฆราวาสแต่ก็ได้ฝึกธรรมะถึงขั้นได้อภิญญา มีฤทธิ์เดชมากมาย ดังมีหลักฐานให้อ่านให้ดูได้ที่ วัดอาวุธ ถ.จรัลสนิทวงศ์ บางพลัด กทม.
นะ ชาลีติ ฉิมพา จะ มหาเถโร
สุวรรณะ มามา โภชนะ มามา วัตถุวัตถา มามา
พลาพลัง มามา โภคะ มามาร มหาลาโภ มามา
สัพเพ ชะนา พหู ชะนา ภวันตุเม
ถ้าจะให้เกิดลาภสม่ำเสอ ให้ท่องสวดพระคาถาตามกำลังวันดังนี้วันอาทิตย์ ๖ จบ
วันจันทร์ ๑๕ วันอังคาร ๘ วันพุธ ๑๗ วันพฤหัส ๑๙ วันศุกร์ ๒๑ วันเสาร์ ๑๐
ï¬ï¬ï¬ï¬ï¬ï¬ï¬ï¬ï¬ï¬ï¬
ขอขอบพระคุณที่มาของข้อมูลจาก : โพสท์ในเวบกองทัพพลังจิต โดย websnow
|